Tode07

ทันโลก ทุกข่าว เหตุการณ์ที่น่าสนใจ ติดตามได้ที่นี่

ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดเเก้โทษ ให้ประหาร “บรรยิน” กับมือฆ่าอุ้มฆ่าพี่ชายตุลาการ

ศาลอุทธรณ์พิพากษ์เเก้โทษ ให้ประหาร “บรรยิน” กับมือฆ่าอุ้มฆ่าพี่ชายตุลาการ
ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดเเก้โทษประหาร “บรรยิน” กับมือฆ่าอุ้มฆ่าพี่ชายตุลาการ ส่วนเชลยที่เหลืออีก4 คนโดนเรือนจำตลอดชาติ เเละยกฟ้องเชลยบางข้อกล่าวหาเล็กๆ
ตอนวันที่ 1 ก.ค. ที่ศาลอาญาคดีคดโกงแล้วก็กระทำไม่ดีกึ่งกลาง ศาลนัดหมายฟังคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ คดีอุ้มฆ่านายวีรชัย ศกุนต์ตะดีเลิศ พี่ชาย น.ส.พนิดา ศกุนาตะเลิศ ตุลาการอาวุโส ศาลอาญากรุงเทวดาใต้ อดีตกาลผู้ครอบครองสำนวนโอนหุ้น นายยกวงษ์ แซ่ตั้ง หรืออาเสี่ยจืดชืด นักธุรกิจ ลำดับที่ดำ อท.69/2563 ที่บุคลากรอัยการที่ทำการคดีกำจัดการโกง 3
โดย น.ส.พนิดา เป็นโจทก์ เเละโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง 1.พันตำรวจโทบรรยิน ตั้งพระอาทิตย์ณ์ อดีตกาล รัฐมนตรีช่วยว่าการการซื้อขาย, 2.นายมานัส ทับทิม , 3.นายณรงค์อำนาจ ป้อมจันทร์, 4.นายชาติชาย เมณฑ์เราล, 5.นายประชากรวิทย์ หรือตูน ศรีทองคำสุข และก็ 6.ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จังหวัดอ๊อด คำพูดสัจจะ
คดีนี้ศาลชั้นต้นชี้ขาดช่วงวันที่ 15 เดือนธันวาคม 2563 ว่า เชลยที่ 1 มีความผิดฐานด้วยกันจองจำหน่วงเหนี่ยวส่งผลให้คนอื่นๆจนกระทั่งแก่ความตายฯ ลงอาญาประหาร ด้วยกันฆ่าคนอื่นโดยใคร่ครวญไว้ก่อนฯ ตาม เปรียญอาญา มาตรา 289(4)(7) ลงทัณฑ์ประหาร, ฐานแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ฯ ติดคุก 1ปี สวมชุดแต่งกายเจ้าหน้าที่ฯ ติดคุก 1 ปี, ปิดบังทำลายศพฯ ติดตะราง 4 ปี
แม้กระนั้นเชลยที่ 1 ให้การมีประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อกล่าวหาคงจะติดคุกเชลยที่ 1 ทั้งมวลตลอดชีพสถานที่เดียว
ส่วนเชลยที่ 2 มีความผิดฐานช่วยเหลือให้ทำไม่ดีฐานฆ่าคนอื่นโดยตริตรองไว้ก่อนฯ ลงทัณฑ์ติดคุกตลอดชาติ แต่ว่าให้การมีคุณประโยชน์ ลดโทษเหลือติดคุก 33 ปี 4 เดือน
เชลยที่ 4-6 มีความผิดฐานด้วยกันจองจำหน่วงเหนี่ยวให้คนอื่นถึงแก่กรรมฯ(เรียกค่าไถ่) ลงอาญาประหาร แม้กระนั้นให้การมีประโยชน์ ลดโทษเหลือติดตะรางตลอดชีพ
โดยเชลยที่ 1 ให้นับโทษต่อจากคดีโอนหุ้นติดตะราง 8 ปี ของศาลอาญากรุงเทวดาใต้
ส่วนเชลยที่3 กระทำผิดฆ่าโดยพินิจพิเคราะห์ (คนลงมือ)ตัดสินประหาร เเละจองจำหน่วงเหนี่ยวให้คนอื่นถึงเเก่ความตาย
พิพากษ์ประหาร ให้การมีประโยชน์ ลดเหลือติดคุกทั้งชีวิต
ถัดมาโจทก์ โจทก์ร่วม จําเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ขออุทธรณ์ จําเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ แผนกคดีคดโกงแล้วก็กระทำไม่ดีตรวจสํานวนสัมมนาขอความเห็นแล้วความประพฤติ ที่มีการจัดแจงเครื่องไม้เครื่องมือ การเผาทําลายศพในสถานที่ที่ยากแก่การทราบเหตุการณ์ของบุคคลอื่นไว้ล่วงหน้า ก่อนจะมีการลักพาตัวคนเสียชีวิต
ชี้ให้มองเห็นอย่างเห็นได้ชัดว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าคนเสียชีวิตโดยใคร่ครวญไว้ก่อน แล้วก็เพื่อปกปิดผู้กระทำระทําความผิดพลาดอื่นหรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในข้อผิดพลาดที่ตนได้กระทําไว้ ตั้งแต่ต้น จําเลยที่ 1 คาดเดาไว้แล้วว่า ผู้จะต้องจำเป็นที่จะต้องต่อต้านไม่ให้มีการนําเพศผู้ตายไปโดยง่าย ถ้าหากผู้เสียชีวิตแข็งข้อจะตัวมีการใช้กําลังบังคับหรือปองร้ายผู้เสียชีวิตโดยแนวทางใดแนวทางหนึ่งเพื่อคนเสียชีวิตยอม ให้จําเลยที่ 1 เอาเพศผู้ตายไป
ฟังได้ว่า จําเลยที่ 1 ใช้กําลังปองร้ายคนเสียชีวิตโดยตั้งใจมองเห็นผล ประกอบกับจําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่ทีแรก
ถัดมาจําเลยที่ 1 และก็ที่ 3 นําคนเสียชีวิตไปเผาในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ การถึงแก่กรรมของคนตายก็เลยได้ผลโดยตรงจากผู้กระทำระทําของจําเลยของจําเลยที่ 1 แล้วก็ที่ 3 หลักฐานของโจทก์มีนําหนักพอเพียงให้ยอมรับฟังได้ว่า จําเลยที่ 1 แล้วก็ที่ 3 ด้วยกันฆ่าผู้เสียชีวิต โดยพิเคราะห์ไว้ก่อน และก็เพื่อปกปิดข้อผิดพลาดอื่นของตัวเองหรือเพื่อหลบหลีกให้พ้นอาญาในข้อผิดพลาดอื่น ที่ได้กระทําไว้ตามคําชี้ขาดศาลชั้นต้น
เมื่อจําเลยที่ 1 ลักพาตัวผู้เสียชีวิต เพื่อจะให้ผู้เสียชีวิตต่อรองให้โจทก์ร่วมตัดสินคดียกฟ้อง
นับได้ว่าจําเลยที่ 1 ลงมือกระทําโดยลักพาคนตายโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อจะเรียกค่าไถ่ ซึ่งครบส่วนประกอบข้อผิดพลาดแล้ว
จําเลยที่ 2 มีส่วนกับจําเลยที่ 1 รวมทั้งที่ 3 ติดตามติดตาม การเคลื่อนที่ของโจทก์ร่วมแล้วก็คนตาย ในวันที่เกิดเหตุ จําเลยที่ 2 ยังขับขี่รถยนต์พาจําเลยที่ 1 ที่ 3 กับที่ 5 จากจังหวัดนครสวรรค์ มาที่บ้านเลขที่ 9/13 รวมทั้งขับขี่รถยนต์จากจังหวัดนครสวรรค์ ไปคอยจําเลยที่ 1 แล้วก็ที่ 3 กับพวก โดยรู้ว่าจําเลยที่ 1 และก็ที่ 3 มีเจตนาจะลักพาตัวคนเสียชีวิต เป็นการส่งเสริมจําเลยที่ 1 กับพวกกระทําความผิดพลาดฐานด้วยกันฆ่าคนตายโดยพินิจไว้ก่อน เพื่อปกปิดข้อผิดพลาดอื่นของตนเอง หรือเพื่อหลบหลีกให้พ้นอาญา ในความผิดพลาดอื่นที่ตนได้กระทําไว้ และก็เพื่อได้ด้วยกันหน่วงเหนี่ยวหรือคุมขังบุคคลใด
ส่งผลให้ผู้ถูกเอาตัวไปผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูก ขังถึงแก่กรรม จําเลยที่ 4 รวมทั้งจําเลยที่ 5 ร่วมกับจําเลยที่ 1 รวมทั้งที่ 3 หน่วงเหนี่ยวขังคนตาย
จําเลยที่ 4 และก็ที่ 5 ก็เลยมีความผิดฐานด้วยกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักคุมผู้เสียชีวิตส่งผลให้ผู้เสียชีวิตถึงแก่ชีวิต
จําเลยที่ 4 และก็ที่ 5 มีเจตนาลักพาตัวคนเสียชีวิตไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวคุมขังเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ
เมื่อจําเลยที่ 3 ใช้กําลังทำร้ายร่างกายคนตายจนกระทั่งแก่ความตาย ถึงแม้จําเลยที่ 4 รวมทั้งที่ 5 ซึ่งเป็นตัวการร่วม จะไม่มีเจตนาให้ผู้เสียชีวิตถึงแก่ชีวิต จําเลยที่ 4 รวมทั้งที่ 5 จำเป็นต้องรับสารภาพในผลของความตายนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63
จําเลยที่ 6 รู้เรื่องตั้งแต่ต้นว่า จําเลยที่ 1 ให้ จําเลยที่ 6 หาคนไปช่วยทวงหนี้
แม้กระนั้นที่จําเลยที่ 4 และก็ที่ 5 ให้การต่อพนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวน ไม่ปรากฏว่าก่อนหน้านั้น จําเลยที่ 4 แล้วก็ที่ 5 มีความรู้และมีความเข้าใจหรือความชำนิชำนาญด้านการทวงหนี้สินโดยชอบด้วยกฎหมายมาก่อน
จําเลยที่ 6 ย่อมคาดหวังได้แล้วว่า การทวงหนี้สินของจําเลยที่ 1 ควรจะมีการใช้กําลังบังคับหรือทำร้ายร่างกาย หรือหน่วงเหนี่ยวบุคคลหนึ่งให้ไม่มีความอิสระภายในร่างกาย จําเลยที่ 1 ก็เลยจะต้องให้จําเลยที่ 6 หาคนไปช่วยดําเนินการให้
ฟังได้ว่าจําเลยที่ 6 ได้ช่วยเหลือโดยอํานวยความสบายให้จําเลยที่ 4 แล้วก็ที่ 5 เดินทางไปกับจําเลยที่ 1 เมื่อจําเลยที่ 4 รวมทั้งที่ 5 ร่วมกับจําเลยที่ 1 แล้วก็ที่ 3 นําเพศผู้ตาย ไปหน่วงเหนี่ยวจองจำในรถยนต์คันก่อเหตุโดยจงใจเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่จากที่วิเคราะห์แล้ว
ผู้กระทำระทํา ของจําเลยที่ 6 ก็เลยเป็นการช่วยเหลือจําเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 กระทําข้อผิดพลาดฐานด้วยกันหน่วงเหนี่ยว หรือคุมขังคนอื่นๆ รวมทั้งฐานเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ด้วยกันหน่วงเหนี่ยวหรือขังบุคคลอื่นตามคําพิพากษ์ ศาลชั้นต้น
แม้กระนั้นไม่ใช่เพียงแต่มาตรา 310 วรรคแรก, 313 (3) วรรคแรก ศาลอุทธรณ์แผนกคดีโกงและก็กระทำไม่ดีเห็นควรปรับปรุงปรับบทให้ถูกเป็นมายี่ห้อ 310 วรรคสอง, 313(3)วรรคด้านหลัง ประกอบ มาตรา 86, 87 วรรคสอง
ปัญหาว่าเหมาะสมลงอาญาจําเลยที่ 1 ที่ 4 แล้วก็ที่ 5 ค่อยกว่าคําชี้ขาดศาลชั้นต้นไหม ความผิดพลาดฐานเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ด้วยกันหน่วงเหนี่ยวหรือจองจำบุคคลใดส่งผลให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกจองจำถึงแก่กรรม รวมทั้งฐานด้วยกันฆ่าคนอื่นโดยพิเคราะห์ไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดพลาดของตนเองหรือหลบหลีกให้พ้นอาญาในข้อผิดพลาดที่ตนกระทําไว้ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) รวมทั้งมาตรา 313 (3) วรรคด้านหลัง
มีระวางโทษประหาร สถานที่เดียว ก็เลยกําคราวดโดยจําเลยที่ 1 ที่ 4 แล้วก็ที่ 5 อย่างอีกมิได้
ส่วนข้อผิดพลาดฐานสวมชุดแต่งกายแล้วก็แต่งแต้มสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่แล้วก็แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่รวมทั้งกระทําการเป็นเจ้าหน้าที่ โดยตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอําที่นาจกระทําการนั้น แล้วก็ฐานด้วยกันกระทําการใดๆก็ตามแก่ศพ หรือสิ่งแวดล้อมในรอบๆที่เจอศพก่อนชันสูตรวินิจฉัยศพสำเร็จ ในประการที่คงจะทําให้การพิสูจน์ พลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนไป หรือเพื่ออําบดบังคดีศาลชั้นต้นกําคราวดโทษสมควร กับการปฏิบัติที่คดีแล้ว
ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีโกงรวมทั้งกระทำไม่ดีจะเปลี่ยนปรับปรุงแก้ไข
ปัญหาว่ามีเหตุควรลดโทษให้จําเลยอีกทั้งหกไหม จําเลยที่ 1 กับพวกมีการกระทำร่วมมือ แล้วก็ด้วยกันคิดแผนเพื่อกระทําไม่ถูกมาอย่างยอดเยี่ยมรวมทั้งมีการแบ่งภาระหน้าที่กันทําอย่างเป็นขั้นตอน การที่จําเลยที่ 1 อ้างถึงว่ามีสิ่งจูงใจมาจากจําเลยที่ 1 กับพวกมิได้รับความชอบธรรมสำหรับเพื่อการพิจารณาคดีของโจทก์ร่วม
ซึ่งเป็นตุลาการผู้ครอบครองสํานวน จําเลยที่ 1 เคยรับราชการตํารวจในตําแหน่ง พันตำรวจโท เคยเป็นพวกสภาผู้แทนราษฎร และก็เคยดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับมีทนายช่วยแก้ต่างให้
ย่อมรู้ถึงขนาดตอนและก็แนวทางพินิจความว่ายังสามารถใช้สิทธิสำหรับในการอุทธรณ์แล้วก็ศาลฎีกาคําพิพากษ์ถัดไปได้เรื่องที่จําเลยที่ 1 กับพวกใช้กระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายบังคับขู่เข็ญตุลาการคนพิจารณาคดี เพื่อเจ้าหน้าที่ทำการอันไม่ดีด้วยหน้าที่ รวมทั้งร่วมกระทําไม่ถูกในที่ชุมชนอย่างเหี้ยมหาญ โดยไม่ยําเกรงต่อข้อบังคับ
ก็เลยนับว่าเป็นคดีร้ายแรงที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวมอย่างร้ายแรง รวมทั้งส่งผลเสียต่อกระบวนการหยุดธรรม
เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและก็เพื่อป้องห้ามไม่ให้มีการ กระทําผิดแบบนี้อีก ก็เลยไม่ควรลดโทษให้แก่จําเลยนั้น
มีความเห็นว่า คําสารภาพหรือรับเรื่องจริง ของจําเลยอันจะนับว่าเป็นเหตุทุเลาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้นั้น ควรจะเป็น ในกรณีที่ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ศาลอันเป็นผลดีแก่การพินิจพิเคราะห์ ศาลก็เลยจะใคร่ครวญลดโทษที่จะลงให้แก่ จําเลยได้
การพิเคราะห์ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏว่าโจทก์มีหลักฐานจากกล้องถ่ายภาพวงจรปดิที่บันทึกภาพ เรื่องตั้งแต่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ด้วยกันตามรอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโจทก์ร่วมกับคนเสียชีวิต สถานที่ ที่จําเลยที่ 6 ขับขี่รถมาส่งจําเลยที่ 4 แล้วก็ที่ 5 ขึ้นรถยนต์ไปกับจําเลยที่ 1 ตลอดจน การใช้ยานพาหนะสําหรับเดินทางของจําเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จากจังหวัดนครสวรรค์มาจนกระทั่งรอบๆที่จอดรถ รอคอยคนเสียชีวิตที่หน้าศาลแพ่งกรุงเทวดาใต้
กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกเหตุการณ์หลังจากที่จําเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 นําเพศผู้ตายขึ้นรถแล้วก็แอบหนีไปที่รอบๆที่จัดแจงเครื่องมือรอคอยไว้เผาร่างผู้เสียชีวิต มีวัตถุพยาน ที่เจออยู่รอบๆที่เผาศพคนตาย
สอดคล้องกับรายงานการตรวจสารพัดธุบาปซึ่งเป็นหลักฐาน ทางนิติเวช รวมทั้งผู้เห็นเหตุการณ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลการให้โทรศัพท์มือถือติดต่อระหว่าง ผู้กระทําความผิดพลาดอย่างสม่ำเสมอ เชื่อมโยงกันเป็นการเฉพาะกิจ
ถึงโจทก์จะไม่มีสักขีพยาน ที่รู้เรื่องเรื่องระหว่างที่จําเลยที่ 1 แล้วก็ที่ 3
แม้กระนั้นศาลก็อาศัยหลักฐานของโจทก์ดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว
เป็นหลักฐานสําคัญสำหรับการวิเคราะห์ตัดสินข้อพิสูจน์แล้วก็พิพากษ์ลงทัณฑ์จําเลยอีกทั้งหกได้
โดยปราศจากความจําเป็นจำเป็นต้องอาศัยคํารับของจําเลยอีก
ทั้งยังจําเลยที่ 1 ให้การสารภาพภายหลังจากได้ตรวจ หลักฐานของโจทก์แล้วมีเหตุมีผลให้น่าไว้วางใจว่า จําเลยที่ 1 ที่ 2 แล้วก็ที่ 4 ถึงที่ 6 เห็นด้วยข้อพิสูจน์ จําเลยที่ 3 ให้การยอมรับสารภาพในชั้นพิเคราะห์เพราะว่าจํานนต่อหลักฐาน
หาใช่สารภาพ เพราะว่าสํานึกในข้อผิดพลาด
คํายอมรับแบบนี้ไม่ถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ศาลอันจะมีประโยชน์ แก่การไตร่ตรอง
ก็เลยไม่มีเหตุทุเลาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 อันจะควรจะลดโทษให้ได้
ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้แก่จําเลยอีกทั้งหกนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีคดโกงรวมทั้งประพฤติผิด ไม่เห็นพ้องด้วย
ชี้ขาดแก้เป็นว่า จําเลยที่ 1แล้วก็ที่ 3 ปราศจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก
ส่วนความผิดพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก เป็นเพียงแต่ การพยายามกระทําข้อผิดพลาดตาม มาตรา 80จําเลยที่ 2 ปราศจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) (7 ) รวมทั้งมาตรา 314 ประกอบมาตรา 86 แม้กระนั้นจําเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 310วรรคสอง, 313(3) วรรคด้านหลัง ประกอบมาตรา 86,87 วรรคสอง
เป็นบาปเดียวไม่ถูกต่อข้อบังคับหลายบท ให้ลงอาญาฐานเป็นผู้ที่ได้การสนับสนุนผู้กระทำระทําข้อผิดพลาดฐาน เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ด้วยกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักคุมบุคคลใด ส่งผลให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกขังถึงแก่ชีวิต
ซึ่งเป็นข้อบังคับบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงอาญาจําเรือนจำตลอดชีพจําเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคสอง, 313 (3) วรรคด้านหลัง ประกอบมาตรา 86,87วรรคสอง
เป็นบาปเดียวไม่ถูกต่อข้อบังคับ หลายบท ให้ลงทัณฑ์ฐานเป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำระทําความผิดพลาดฐานเพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ ด้วยกันหน่วงเหนี่ยว หรือจองจำบุคคลใดส่งผลให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักคุม
ถึงแก่เสียชีวิต ซึ่งเป็นข้อบังคับบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
ลงอาญาจําตารางตลอด

Powered By WordPress | Messina Blog